ขั้นตอนการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ เอกสารการส่งออก
แนะนำขั้นตอนการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่อยากส่งออกสินค้าไปขายยังต่างประเทศ ศัพย์พื้นฐานในการส่งออกที่ควรรู้ ช่องทางในการหาลูกค้าต่างประเทศและอื่นๆที่เป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจส่งออกสินค้า1. เตรียมความพร้อมเรื่องสินค้า สถานที่ประกอบการ เอกสารที่เกี่ยวข้อง
- - เข้าใจตัวสินค้าของเรา จุดอ่อน จุดแข็ง ของสินค้าและกำหนดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
- - จัดการเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้าของเรา เช่น การขอเลขที่จดแจ้ง การขอใบอนุญาต อย. หนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ (Certificate of Free Sale) ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้
- - การขอใบรับรองสถานที่ผลิต เช่น GMP ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้
- - การจดทะเบียนพาณิชย์ (เป็นนิติบุคคลจะดูน่าเชื่อถือมากที่สุด)
- - จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในส่วนนี้จะเน้นไปในเรื่องเกี่ยวกับตัวสินค้าของเรา กระบวนการผลิต สถานที่ประกอบการ เอกสารสำคัญที่ขาดไม่ได้คือการรับรองตัวสินค้าไม่ว่าจะเป็น เลข อย. หรือ เลขที่จดแจ้ง ใบรับรองการจดทะเบียนพาณิชย์ อาจจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ แต่นิติบุคคลจะดูน่าเชื่อถือมากกว่า สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่งเริ่มอาจจะใช้แบบบุคคลธรรมดาไปก่อนก็ได้ เน้นขายสินค้าปริมาณน้อยๆแล้วไปสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ซื้อในรูปแบบอื่นแทน
2. ช่องทางในการหาลูกค้าต่างประเทศ
การหาลูกค้าต่างประเทศสามารถหาได้จากหลายช่องทาง ขึ้นอยู่กับตัวสินค้านั้นๆ เราควรเลือกช่องทางให้เหมาะสม ให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราซึ่งได้กำหนดไว้ในตอนต้นแล้ว โดยส่วนมากช่องทางในการหาลูกค้าจะมีดังนี้ สามารถนำไปปรับใช้ได้ให้เหมาะสม
- - โซเชียลมีเดียเช่น Facebook Youtube Instagram Pinterest และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
- - Email Marketing คือการแนะนำสินค้าของเราผ่าน email วิธีนี้ก็พอช่วยได้ ถ้าตรงกลุ่ม
- - E-Marketplace คือการโฆษณาสินค้าผ่านเว็บไซต์ในรูปแบบ B2B หรือ B2C เลือกเอาให้เหมาะสมกับสินค้าของเราเช่น Amazon Ebay Alibaba EC21 เป็นต้น ในส่วนของเว็บ B2B ไทย สามารถลงได้ที่เว็บ B2B website ได้เลยและอีกที่คือ Thaitrade
- - สร้างเว็บเราขึ้นมาแล้วโปรโมท พัฒนาอย่างต่อเนื่อง (ทำ SEO) วิธีนี้แนะนำอย่างยิ่ง ไม่ว่าท่านหาลูกค้าจากช่องทางไหน ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แสดงข้อมูล รายละเอียด ให้ผู้ซื้อมั่นใจว่าท่านมีตัวตนอยู่บนโลกอินเตอร์เน็ทจริง จะเป็นผลดีในระยะยาว แต่อาจจะต้องใช้เวลานานพอสมควร
- - การออกบูธแสดงสินค้า วิธีนี้เข้าถึงผู้ซื้อโดยตรงแต่ค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยนะ หากท่านสายป่านยาวจริง วิธีนี้อาจจะได้ออเดอร์ใหญ่เลยก็ได้ ส่วนมากจัดโดย Thaitrade เพราะเป็นเว็บ b2b ของไทยที่ดูแลโดยกระทรวง
คร่าวๆก็ประมาณนี้ แต่สำหรับการส่งออกแล้วถ้าจะให้เหมาะจริงๆใช้เว็บ B2B เป็นหลักทั้ง Rannthai และ Thaitrade ส่วนต่างประเทศใช้ Alibaba EC21 และเว็บอื่นๆ และสร้างเว็บถ้ามีอยู่แล้วก็ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องด้วยการทำ SEO มีบริษัทมากมายที่รับจ้างทำ SEO ราคาก็ขึ้นอยู่กับความยากง่ายหรือจะให้ทางผู้เขียนทำให้ก็ได้ เพราะเว็บ Rannthai นี้ ผู้เขียนเองก็ทำเองคนเดียว ทำมือล้วนๆ
3. ศัพย์ต่างๆ ที่ควรรู้เมื่อต้องการส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศ
คำศัพย์ต่างๆ ในที่นี้จะอ้างอิงจากเว็บ Rannthai เป็นหลักนะครับ เพื่อที่จะได้สามารถลงรายละเอียดสินค้าได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น
- Price rate คือ ช่วงราคาของสินค้าตั้งแต่เท่าไรถึงเท่าไร เพราะราคาอาจจะมีการลดได้ขึ้นอยู่กับจำนวนในการสั่งซื้อเช่น 10 ชิ้น ราคาชิ้นละ 12 บาท แต่ถ้า 50 ชิ้น ราคาชิ้นละ 10 บาท เราก็สามารถกำหนดได้ดังนี้คือ ราคา 10-12 บาท
- MOQ ย่อมาจาก Minimum Order Quantity หมายถึง จำนวนขั้นต่ำในการสั่งซื้อสินค้า
- Price Term คือประเภทของราคา เช่น Ex-work , FOB , CIF ประเภทของราคายังมีแบบอื่นอีก แต่ส่วนมากและใช้บ่อยๆก็จะประมาณนี้
- Ex-work คือ ราคาจากหน้าโรงงาน ผู้ซื้อต้องจัดการขั้นตอนอื่นๆเอง
- FOB คือ ราคาของสินค้ารวมกับค่าเดินทางอื่นๆจนมาถึงท่าเรือที่จะส่งออก หลังจากสินค้าถูกยกขึ้นเรือแล้ว ความรับผิดชอบจะเป็นของผู้ซื้อ
- CIF คือ ราคาของสินค้ารวมกับค่าเดินทางอื่นๆ + ค่าระวางเรือ + ค่าประกันสินค้า จนถึงท่าเรือปลายทาง ใน term ของ CIF จะสะดวกแก่ผู้ซื้อ แต่ทางฝั่งผู้ขายมีงานต้องทำเยอะหน่อย แต่รายละเอียดส่วนนี้ Shipping สามารถเข้ามาช่วยได้ ตั้งแต่ขนสินค้าไปท่าเรือ หาเรือ จัดการค่าระวางเรือ ค่าประกันสินค้า ทำเรื่องเอกสารการส่งออก และอื่นๆ
- Payment term คือ เงื่อนไขหรือวิธีการชำระเงิน เช่น L/C , T/T , Paypal และอื่นๆ
- L/C ย่อมาจาก Letter of Credit การชำระเงินในลักษณะนี้ผู้ซื้อและผู้ขายพบกันคนละครึ่งทาง ผู้ขายและผู้ซื้อแทบไม่มีความเสี่ยง เพราะจะใช้ธนาคารเป็นตัวกลาง ส่วนมากจะทำกันกับระหว่างบริษัทใหญ่ๆที่มียอดการสั่งซื้อเยอะๆ
- T/T ย่อมาจาก Telegraphic Transfer คือการชำระเงินด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ง่ายๆ รวดเร็ว แต่ผู้ซื้อต้องเชื่อใจผู้ขายพอสมควรและมักจะเป็น order ไม่สูงมากนัก
- PayPal คือการชำระเงินผ่าน PayPal
- Sea Port คือ ท่าเรือต้นทาง
- Delivery Estimated Time คือ ระยะเวลาในการจัดส่งสินค้า
- Supply Ability คือ กำลังการผลิตหรือความสามารถในการผลิตหรือจัดหาสินค้า
- Delivery Detail คือ รายละเอียดการจัดส่งสินค้า เช่น ทางเรือ ทางอากาศ
4. เอกสารเกี่ยวกับการส่งออก และเกี่ยวกับพิธีการศุลกากร
- Invoice คือ ใบแจ้งราคาสินค้า ในส่วนของ Invoice อาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆอีก ขึ้นอยู่กับการเจรจาการซื้อขาย อาจจะมี Proforma Invoice และ Purchase Order หรือมีแม้กระทั่ง Contract of sale
- Commercial Invoice คือ บัญชีราคาสินค้า ผู้ส่งออกจะต้องออกใบนี้ให้กับผู้นำเข้า ใช้สำหรับแนบไปกับเอกสารอื่นเพื่อออกของกับกรมศุลกากร
- Packing List คือ บัญชีรายละเอียดบรรจุหีบห่อ
- Bill of Lading (B/L) คือ ใบตราส่งสินค้าทางเรือ
- Air Way Bill (AWB) คือ ใบตราส่งสินค้าทางอากาศ
- Certificate of Origin หรือ CO คือ ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า มีอยู่หลายฟอร์มด้วยกันขึ้นอยู่กับว่าขายให้กับประเทศไหน
- Certificate of free sale (CFS) คือ หนังสือรับรองการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ หากมีการร้องขอจากทางผู้ซื้อ
- Cerfiticate of Health หรือ Health Cer คือ หนังสือรับรองคุณภาพและอนามัยของสินค้า สำหรับสินค้าประเภทอาหารและสินค้าทางการเกษตร
– Insurance Certificate คือ ใบประกันภัยสินค้า เป็นการบ่งบอกว่าสินค้านั้นได้มีการทำประกันภัยสินค้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงและความเสียหายของสินค้าในระหว่างการขนส่ง
สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่อยากทำ ธุรกิจส่งออก
เว็บ Rannthai.Com เปิดให้ลงขายสินค้าแล้ว ในรูปแบบ Thailand B2B Marketplace เป็นภาษาอังกฤษ โดยเน้นสินค้าขายส่งไปยังต่างประเทศ ใครที่สนใจ อยากทำธุรกิจส่งออก ตอนนี้มีช่องทางในการโปรโมทสินค้า เพื่อหาลูกค้าต่างประเทศแล้ว โดยการสมัครสมาชิกกับเว็บ rannthai.com ลงข้อมูลผู้ประกอบการ และลงสินค้าได้เลย เว็บนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ SMEs ในไทยโดยเฉพาะ ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะผู้ที่ทำส่งออกได้เริ่มต้น ที่จะเรียนรู้การส่งออกสินค้า การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันโดยการเคลื่อนไปสู่ระบบออนไลน์ และการเผยแผร่สินค้าไทย ไปยังตลาดต่างประเทศ